

ทุกเรื่องครีมกันแดดที่คุณต้องรู้ก่อน ถ้าไม่รู้ถือว่า “พลาด”

จากผลสำรวจผู้ใหญ่ในวัยทำงานหลายคนบ่นว่า หนึ่งในสิ่งที่เสียใจที่สุดที่ไม่ได้ทำเมื่อครั้งเป็นวัยรุ่นก็ค ือ “ไม่ได้ทากันแดด”
หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรทาครีมกันแดด "เป็นประจำ" หรือทากันแดด "เป็นเรื่องปกติ" ไม่ใช่แค่ตอนจะไปทะเล หรือไปตากแดดแรง ๆ เท่านั้น หลายคนคิดว่าก็ไม่ได้ออกไปไหน ทำไมต้องทาครีมกันแดดด้วย ลูกค้าที่คลินิกบางท่านถึงแม้จะเป็นผู้หญิงก็ตาม ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับครีมกันแดด และยิ่งเป็นลูกค้าผู้ชายยิ่งแล้วใหญ่ ไม่ชอบทาครีมกันแดด ยิ่งครีมที่เหนียว ๆ เหนอะหนะ ยิ่งไม่เอาเลยค่ะ
ด้วยหลายๆ สาเหตุนี้จึงทำให้หลายท่าน เลือกที่จะละเลยการปกป้องผิวตนเองจากแสงแดดจนสุดท้ายก็ได้ผิวคล้ำดำเสียกลับมา ถ้าผิวดำคล้ำอ ย่างเดียวคงไม่เท่าไหร่นะคะ แต่ส่วนใหญ่มักจะมาพร้อมกับปัญหาผิวหยาบกร้าน แห้งเสียดูแก่ก่อนวัย หากถามว่าการทากันแดดจำเป็นมากแค่ไหน.. ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่าสำคัญกว่าการทาครีมบำรุงบางตัวด้วยซ้ำ
กันแดดคืออะไร?
กันแดด คือ ผลิตภัณฑ์เพื่อปกป้องผิวชนิดหนึ่ง โดยมากมักเป็นชนิดทา แต่ก็มีบ้างที่เป็นแบบสำหรับพ่น ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสีที่มาพร้อมกับแสงแดด นั่นก็คือรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตหรือรังสียูวีนั่นเอง หลักการทำงานของกันแดด แบ่งได้เป็นสองกลไกหลัก คือ การปกป้องผิวด้วยการดูดซับรังสียูวีที่มาจากแสงแดดไว้ที่ชั้นฟิล์มของกันแดดเอง ทำให้รังสียูวีไม่สามารถเจาะท ะลุเข้าไปทำลายชั้นผิวหนังทั้งด้านนอกและด้านใน อีกกลไกหนึ่งก็คือการสะท้อนรังสียูวีออกไปจากผิวหนัง กันแดดที่ดีควรจะมีทั้งสองกลไกนี้ในการปกป้องผิวของคุณนะคะ
ทำไมต้องใช้ครีมกันแดด?
สำหรับบ้านเราที่มีดวงอาทิตย์ 2 ดวง! มากกว่าชาวบ้านชาวเมืองเค้า... ครีมกันแดดถือเป็นไอเท็มที่ขาดไม่ได้ จริง ๆ แล้วแม้ทั้งวันคุณจะอยู่แต่ในร่มก็ยังควรทากันแดด เพราะอะไรทราบมั้ยคะ? ความจริงแล้วกันแดดมีไว้ป้องกันรังสี UV ที่มาพร้อมกับแสงจากดงวอาทิตย์ แสงแดดไม่ได้ร้ายนะคะ แต่รังสียูวีที่แฝงมากับแสงแดดต่างหากที่มันร้าย ที่แย่ไปกว่านั้น รังสียูวีไม่ได้มาจากดวงอาทิตย์แต่เพียงอย่างเดียวน่ะสิคะ จอคอมพ์ จอมือถือ หลอดไฟ ต่างก็มีการปล่อยรังสี UV ออกมาทั้งนั้น นอกจากจะช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีแล้ว ครีมกันแดดบางชนิดยังมีส่วนผสมที่มีคุณสมบัติบำรุงผิวได้อย่างหลากหลายรวมอยู่ด้วย ไม่ใช่แค่เพียงปกป้อง แต่ยังช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งผิวหนัง ส่งผลให้มีผิวสวยสุขภาพดี พร้อมลุยกิจกรรมแบบไม่กลัวผิวเสียได้อย่างมั่นใจ
อันตรายจากแสงแดด สาเหตุหลักที่ทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำ
ผิวที่ได้รับแสงแดดมากเกินไปโดยที่ไม่ได้รับการปกป้อง อาจได้รับความเสียหายจนกลับมารักษาให้เป็นปกติดังเดิมได้ยาก โดยปัญหาหลัก ๆ ที่มักจะพบมีอยู่ 2 อย่าง ดังนี้
● ฝ้า กระ จุดด่างดำ
ฝ้า กระ จุดด่างดำเป็นปัญหาผิวที่เกิดขึ้นได้ตามวัยหรือเกิดจากกรรมพันธุ์ นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องของการที่ผิวถูกแสงแดดมากเกินไปอีกด้วย สำหรับฝ้านั้นจะมีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลไปจนถึงดำ มักพบบ ริเวณโหนกแก้ม ซึ่งเป็นบริเวณที่ได้รับแสงแดดมากที่สุดบนใบหน้า ในขณะที่ กระ จะมีลักษณะเป็นจุด ๆ สีน้ำตาล ปรากฏอยู่ในบริเวณหน้าและลำตัวได้เช่นกัน
● ผิวแดง ไหม้แดด
เป็นภาวะของผิวที่เกิดการอักเสบ แดง และมีอาการแสบร้อน เนื่องจากได้รับรังสีอัลตร้าไวโอเลตหรือรังสียูวี (UV) ที่มากหรือนานเกินไป พบได้ทั่วไปทุกบริเวณที่โดนรังสียูวี เช่น หนังศีรษะ ริมฝีปาก ดวงตา จะมีอาการผิวไหม้ ผิวลอก ตุ่มพอง ทำให้ผิวเกิดริ้วรอยและอาจร้ายแรงจนถึงขั้นพัฒนาไปเป็นโรคมะเร็ง ปัญหาเหล่านี้ เมื่อได้สอบถามจากต้นตอของแต่ละคนจริง ๆ มักพบว่ามาจากพฤติกรรมที่ไม่ค่อย ได้ทากันแดด หรือ ทาเพียงครั้งเดียวก่อนออกจากบ้าน ซึ่งอาจไม่เพียงพอในการปกป้องผิวจากรังสียูวี
ชนิดของรังสียูวี
รังสีจากแสงแดดที่มีอันตรายต่อผิวหนัง แบ่งได้เป็น 3 ช่วงคลื่นใหญ่ ๆ ด้วยกัน คือ
● รังสี UVA เป็นรังสีที่สามารถแทรกซอนลงไปถึงผิวชั้นลึก ๆ หรือผิวหนังชั้นล่างได้ มีพลังทำลายเนื้อเยื่อและดีเอ็นเอของเซลล์ผิว โดยเป็นตัวการทำลายคอลลาเจนและความชุ่มชื้นของผิวหนัง ทำให้ผิวแห้งจนเกิดริ้วรอ ยลึกหรือผิวเหี่ยวย่น ทำให้เกิดฝ้า กระ มะเร็งผิวหนัง และผิวหมองคล้ำ เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวดูแก่กว่าวัย
● รังสี UVB มีความสามารถในการทะลุทะลวงที่ต่ำกว่า UVA แต่กระนั้นก็ยังสามารถทะลุลงไปได้ถึงชั้นหนังกำพร้า UVB เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดความร้อนที่ผิวของเราสัมผัสได้ ทำให้ผิวหนังแดง ไหม้แดด รู้สึกแสบร้อน เป็นตัวการหลักที่ทำให้สีผิวของเราหมองคล้ำ หรือที่เราเรียกว่า แดดเผา
● รังสี UVC มีความสามารถทะลุทะลวงต่ำที่สุด จึงทำให้ผ่านลงมาที่พื้นโลกได้ไม่มากนัก เพราะเกือบทั้งหมดถูกกรองไว้ในชั้นบรรยากาศโดยโอโซนที่ห่อหุ้มโลกของเราอยู่ ผลิตภัณฑ์กันแดดส่วนใหญ่จึงไม่มีคุณสมบัติในการป้องกันรังสีชนิดนี้
ค่า PA ในการป้องกันรังสี UVA
PA ย่อมาจาก Protection Grade of UVA เป็นค่าที่แสดงถึงคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากรังสียูวีเอ (UVA) และเครื่องหมาย + ที่ตามหลังนั้น คือ ค่าความสามารถในการปกป้องผิว โดยวัดเป็นจำนวนเท่าของการเกิดผิวคล้ำดำ (Persistent Pigment Darkening, PPD) โดยค่า PA จะมีอยู่ด้วยกัน 4 ระดับ ดังนี้
PA+ มีประสิทธิภาพเป็น 1-4 เท่าของ PPD หรือ มีคุณสมบัติการป้องกันระดับเริ่มต้น
PA++ มีประสิทธิภาพเป็น 4-8 เท่าของ PPD หรือ มีคุณสมบัติการป้องกันระดับปานกลาง
PA+++ มีประสิทธิภาพเป็น 8-16 เท่าของ PPD หรือ มีคุณสมบัติการป้องกันระดับสูง
เหมาะกับคนที่ทำงานกลางแดด
PA++++ มีประสิทธิภาพมากกว่า PPD 16 เท่าขึ้นไป หรือ มีคุณสมบัติการป้องกันระดับสูงมาก เหมาะสำหรับคนที่ต้องทำงานกลางแดดอยู่ตลอดเวลา)
ค่า SPF กับประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVB
ค่า SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor หรือที่หลาย ๆ ท่านเรียกง่าย ๆ ว่า “ค่า SPF” คือตัวเลขที่บ่งบอกถึง “ความสามารถในการป้องกันรังสี UVB ไม่ให้เกิดอาการแดงของผิวหนัง”
ในการคำนวณระยะเวลาในการป้องกันรังสี UVB จะต้องดูที่ผิวของเราเป็นหลัก ซึ่งผิวของแต่ละคนจะมีระยะเวลาในการตอบสนองต่อรังสี UVB ไม่เท่ากันอยู่แล้ว อย่างเช่น คนผิวขาวเมื่อตากแดดไปเพียง 10 นาที ผิวก็จะเริ่มแดง แต่สำหรับคนเอเชีย หรือคนไทยทั่วไปที่มีผิวสองสีจะต้องใช้เวลาตากแดดที่มากกว่าถึง 15 นาที ก่อนที่ผิวจะเริ่มแดง หรือถ้าหากเป็นคนผิวสีเข้มหรือผิวดำ ก็อาจจะต้องตากแดดนานถึง 30 นาที ผิวถึงจะเริ่มแดง เป็นต้น ส่วนตัวเลขหลัง SPF ที่ระบุไว้ อย่าง SPF30 นั้นจะหมายถึง “ระยะเวลาที่นานกว่าเวลาที่เริ่มทำให้ผิวแดงเมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่เรายังไม่ได้ทาครีมกันแดดจำนวน 30 เท่า” ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าเราอาบแดดในหน้าร้อนโดยที่ไม่ได้ทาครีมกันแดด ปรากฏว่าผิวของเราเริ่มแดงเมื่อเวลาผ่านไป 10 นาที หากเราใช้กันแดดที่มีค่า SPF30 ก็จะสามารถป้องกันไม่ให้ผิวแดงได้นาน 10 x 30 = 300 นาที ดังนั้น หลังจากนาทีที่ 300 เป็นต้นไป หากเรายังมีความจำเป็นต้องโดนแสงแดดอยู่ ขอแนะนำให้ทาครีมกันแดดซ้ำด้วย
แต่ในชีวิตจริงเรามักทากันแดดกันไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ ประสิทธิภาพที่บอกไว้ก็อาจจะลดลง
30 – 50% เช่น จากตัวเลข 5 ชั่วโมง ก็อาจจะเหลือเพียงแค่ 2 – 3 ชั่วโมง จำง่าย ๆ นะคะว่า ยิ่งค่า SPF สูงก็ยิ่งแสดงว่าครีมกันแดดนั้นมีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีได้มากขึ้น (นานขึ้น) ด้วย ดังนี้
SPF 2 ป้องกันอันตรายจาก UVB ได้ 50%
SPF 4 ป้องกันอันตรายจาก UVB ได้ 75%
SPF 6 ป้องกันอันตรายจาก UVB ไ ด้ 80%
SPF 15 ป้องกันอันตรายจาก UVB ได้ 93.3%
SPF 20 ป้องกันอันตรายจาก UVB ได้ 95%
SPF 25 ป้องกันอันตรายจาก UVB ได้ 96%
SPF 30 ป้องกันอันตรายจาก UVB ได้ 96.7%
SPF 45 ป้องกันอันตรายจาก UVB ได้ 97.8%
SPF 50 ป้องกันอันตรายจาก UVB ได้ 98%
จะเห็นได้ว่าประสิทธิภาพใ นการป้องกันแสงแดดที่ค่า SPF สูง ๆ นั้นแทบจะไม่มีความแตกต่างกันเลย ซึ่งประสิทธิภาพในป้องกันอันตรายจาก UVB จะสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ จนถึง SPF30 เท่านั้น เมื่อเลยจากจุดนี้ไป ประสิทธิภาพในการป้องกันจะยังคงเพิ่มขึ้น แต่เพิ่มขึ้นอย่างน้อยมาก ๆ ซึ่งต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงขึ้น เราจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปตามหากันแดดที่มีค่า SPF สูง (และราคาสูง) มากเกินไปมาใช้
กันแดดมีกี่ประเภท?
1.กันแดดประเภทสะท้อนรังสี (Physical Sunscreen)
จะมีคุณสมบัติในการสะท้อนรังสี UV ออกไปจากชั้นผิวหนัง และปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB มั กไม่มีการตกค้างบนผิว ไม่อุดตัน เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย เด็กและสตรีมีครรภ์สามารถใช้ได้
2.กันแดดประเภทดูดซับรังสี (Chemical Sunscreen)
ครีมกันแดดประเภทนี้จะช่วยดูดรังสี UV ไม่ให้ทะลุผ่านเข้าสู่ผิวหนัง มีเนื้อสัมผัสบางเบา ไม่ต้องใช้ปริมาณที่เยอะก็ปกป้องได้ ใช้งานง่าย สามารถใช้คู่กับสกินแคร์ชนิดอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี
3.กันแดดประเภทผสม (Hybrid Sunscreen)
ครีมกันแดดประเภทสุดท้ายนี้จะรวมเอาคุณสมบัติการสะท้อนรังสีกับการดูดซับรังสีเอาไว้ พูดง่าย ๆ ก็คือรวมจุดเด่นของกันแดดทั้งสองประเภทเข้าด้วยกัน ผลิตภัณฑ์กันแดดส่วนใหญ่จัดอยู่ในประเภทนี้
ต้องทาครีมกันแดด 2 ข้อนิ้ว ถึงป้องกันแสงแดดได้ จริงหรือ?
บางคนอาจยังไม่ทราบว่าปริมาณของการทาครีมกันแดดที่ป้องกันแสงแดดได้ผลดี อยู่ที่ 2มิลลิกรัม ต่อ 1 ตารางเซนติเมตรของผิวหนัง หรือ ควรทาครีมกันแดดปริมาณ 2 ข้อนิ้วมือสำหรับบริเวณใบหน้าและลำคอ โดยเริ่มทาก่อนออกแดด 15 นาที และทาซ้ำทุก ๆ 2 ชม. หากอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน
ทริคง่าย ๆ ในการเลือกครีมกันแดด ให้สังเกตจากค่า SPF และ PA หากต้องออกไปทำกิจกรรมที่โดนแสงแดดโดยตรง ควรเลือกกันแดดที่มี SPF30 และ PA++ ขึ้นไป เพราะประเทศไทยแดดค่อนข้างแรง หากเลือกค่าที่ต่ำกว่านั้น อาจไม่เพียงพอให้ปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อีกคุณสมบัติหนึ่งที่สำคัญ คือเลือกจากความสามารถในการกันน้ำ หากต้องอยู่กลางแดดทั้งวัน หรือไปทำกิจกรรมที่โดนน้ำ เช่น ไปทะเล ควรเลือกกันแดดที่มีคุณสมบัติ Water-resistant ป้องกันน้ำและเหงื่อ เพื่อช่วยให้กันแดดติดทนนานยิ่งขึ้นค่ะ